ฉันกับเบอร์ลิน kistler safety valve คุยกันทุกวันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขามีท่าทีก้าวร้าวน้อยลง ฉันแอบติดกระดาษโน้ตไว้ใต้โต๊ะของเขา บอกให้ตั้งใจเรียน ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีเรื่องเหมือนช่วงแรก เด็กผู้ชายหลายคนเข้ามาคุยกับเขา บางวันที่ฉันเห็นเบอร์ลิน kistler safety valve ออกไปเล่นบาสกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่นิสัยดีๆ
พอตกเย็นเราก็คุยกัน ส่วนมากจะเป็นเรื่องเรียนซะมากกว่า เบอร์ลินเป็นเด็กหัวไวและตอนนี้คะแนนเก็บของเขาก็ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ
เบอร์ลิน : เจน เดี่ยวพรุ่งนี้ตอนพักเที่ยงขอคุยด้วยหน่อยนะ
เจน : ได้สิ มีอะไรเหรอ
เบอร์ลิน : มีเรื่องสำคัญจะบอก
เจน : เรื่องอะไรเหรอ
เบอร์ลิน : ค่อยบอกเที่ยงพรุ่งนี้
จะบอกว่าฉันไม่ตื่นเต้นคงไม่ได้ เวลาที่คุยกับเขาฉันยอมรับว่าบางครั้งก็รู้สึกมีใจหน่อยๆ แต่อย่าลืมว่าเบอร์ลินไม่มีเพื่อนคุยเลย ที่เขามาคุยกับฉันคงเพราะว่าเขาต้องการเพื่อน ฉันพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากไป
วันต่อมาฉันใจจกใจจ่อรอให้ถึงตอนเที่ยง ฉันบอกกลุ่มเพื่อนว่าเดี๋ยวค่อยตามไปกินข้าว ก่อนที่ห้องจะเหลือแค่เราสองคน เขาเดินมาใกล้ๆแล้วบอกกันฉันว่า “เจน พ่อยอมให้เราเอาหมาไปเลี้ยงนะ” อาการตื่นเต้นของฉันหายไป แต่ก็ดีใจที่มีคนรับเอาสมองไปเลี้ยง เบอร์ลินทำให้ฉันรู้สึกแห้วไม่พอ เขายังขอร้องให้ฉันไปส่งไอ้สมองด้วย เพราะเขาอยากนั่งรถเมล์
พอเลิกเรียนหลังจากที่เพื่อนๆกลับกันหมด เบอร์ลิน kistler safety valve นั่งรอฉันที่ให้ถุนอาคาร พร้อมกล่องกระดาษสีน้ำดาษเจาะรูที่ไอ้สมองเอาจมูกดุนออกมา “จะให้ไปส่งถึงที่ไหน หน้าปากซอย?” ฉันถามเขา “ส่งถึงหน้าบ้านได้ไหม” เขาต่อรองฉันพร้อมบอกว่าเดี๋ยวให้ค่าแท็กซี่กลับบ้าน เราเดินไปขึ้นรถเมล์เหมือนเดิม เบอร์ลินวางกล่องไอ้สมองไว้บนพื้น เราโหนรถเมล์เพราะไม่มีที่นั่ง เบอร์ลินพูดขอบคุณฉันเบาๆ เขายิ้มอีกแล้ว ฉันสังเกตว่าเขามีลักยิ้มเล็กๆบนแก้ม …อันที่จริงเบอร์ลิน kistler safety valve ก็ไม่ใช้คนที่เลวร้ายเท่าไหร่ เขาแค่ขาดความอบอุ่นเท่านั้นเอง ฉันคิดว่าตอนนี้กำแพงของเราคงค่อยๆทลายลงแล้วล่ะ